สัตว์ปีก
เป็นสัตว์เลือดอุ่น มีอุณหภูมิของร่างกายคงที่ ไม่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม เป็นสัตว์ที่มีการวิวัฒนการมาจากสัตว์เลื้อยคลานแต่เนื่องจากขาหน้าของสัตว์ปีกเปลี่ยนแปลงไปเป็นปีก เพื่อช่วยใน การบิน จึงเรียกสัตว์กลุ่มนี้ว่า สัตว์ปีก เราสามารถแบ่งสัตว์กลุ่มนี้ตามลักษณะ
การบินได้ 2 พวก คือ
1. พวกบินได้ ส่วนใหญ่มีปีกเจริญดี สามารถใช้ในการบินไปมาในอากาศได้อย่างรวดเร็ว แต่มีบางพวกปรับโครงสร้างของร่างกาย ให้เหมาะ
สมกับสถานที่อยู่อาศัย จึงบินได้ต่ำ เช่น ไก่ เป็ด นกยูง นกขุนทอง
2. พวกบินไม่ได้ ส่วนใหญ่จะมีปีกขนาดเล็กมาก จึงไม่สามารถบินได้ การเคลื่อนที่จะอาศัยขาเดิน และวิ่งอย่างรวดเร็ว เช่น นกกระจกเทศ นกอีมู นกเพนกวิน
ลักษณะสำคัญ
ขนมีลักษณะเฉพาะตัว คือ เป็นขนแบบแผง โดยขนเส้นเล็กๆ แต่ละเส้นจะเรียงชิดติดกันอยู่บนก้านยาว จะมีส่วนโคนฝังอยู่ที่บริเวณผิวหนัง ปากจะเป็นจงอย จะมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับการกินอาหาร อาหารจะถูกกลืนลงสู่ทางเดินอาหาร โดยไม่การเคี้ยว เพราะในปากไม่มีฟัน อาหารจะเคลื่อนผ่านหลอดอาหารลงสู่กระเพาะพักเพื่อเก็บสะสม แล้วจึงส่งต่อให้กระเพาะจริง เรียกว่า กระเพาะบดหรือกึ๋น ช่วยบดอาหารให้ละเอียด โดยใช้เม็ดกรวดและทรายที่สัตว์พวกนี้จิกกินเข้าไปจากนั้นส่งต่อให้ลำไส้เล็กเพื่อย่อยจนสามารถดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้ จะเหลือกากอาหารจะถูกขับออกทางทวารหนักพร้อมปัสสาวะ เพราะท่อปัสสาวะของสัตว์ปีกจะมาบรรจบที่ปลายลำไส้พอดี มูลจึงมีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว เท้าของสัตว์ปีกจะมีลักษณะที่แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิต ที่บริเวณขาและนิ้วเท้าจะพบว่ามีเกล็ดอยู่ทุกชนิด มีปอดเป็นอวัยวะแลกเปลี่ยนก๊าซ สัตว์ปีกจะมีถุงลมที่บริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ที่ฐานของคอ ที่ท้อง ที่ทรวงอก ช่วยเก็บอากาศเพื่อส่งไปแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด และถุงลมในร่างกายยังช่วยให้ร่างกายมีหนักเบาทำให้ลอยตัวอยู่ในอากาศได้ดี เช่น
ไก่ไข่
การเลี้ยงและการจัดการไก่ไข่บนกรง
ข้อดี
1. สะดวกในการดูแลและการตรวจสอบสุขภาพไก่
2. ไก่ไม่ปนเปื้อนมูล เนื่องจากเมื่อไก่ขับถ่ายมูลออกไปแล้วก็จะตกลงสู่ด้านล่างของกรงทันที
3. ไข่สะอาดไม่ปนเปื้อนมูลและสิ่งสกปรกต่าง ๆ
4. การจับและการคัดไก่ออกสามารถกระทาได้สะดวก
5. การเลี้ยงไก่บนกรงจะทาให้ไก่กินอาหารน้อยกว่าการเลี้ยงแบบปล่อยพื้น
6. ไก่ไม่มีนิสัยชอบฟักไข่
7. สามารถเลี้ยงไก่ได้ปริมาณมากกว่าในโรงเรือนขนาดเท่ากัน
8. การป้องกันการเกิดพยาธิภายใน พยาธิภายนอก และโรคติดต่อทาได้ง่ายกว่า
9. ประหยัดแรงงานและการทางานสะดวกขึ้น เนื่องจากสามารถนาอุปกรณ์อัตโนมัติเข้ามาช่วยทางานได้ เช่น การให้น้า การให้อาหาร และการเก็บไข่
ข้อเสีย
1. ต้นทุนการเลี้ยงต่อตัวสูงขึ้น
2. มีปัญหาการจัดการมูลในระหว่างการเลี้ยง
3. มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับแมลงวันและแมลงปีกแข็งมากกว่าการเลี้ยงไก่แบบปล่อยพื้น
4. ไข่ที่ได้จากการเลี้ยงแบบขังกรงมักจะมีโอกาสเกิดจุดเลือดและจุดเนื้อในฟองไข่มากกว่า
5. ไก่ที่เลี้ยงแบบขังกรงมักจะมีกระดูกเปราะกว่าจึงมีโอกาสกระดูกหักได้ง่ายกว่า
ขนาดกรง
ขนาดกรงส่วนใหญ่จะขึ้นกับบริษัทผู้ผลิต อย่างไรก็ตาม กรงเลี้ยงไก่ไข่จะต้องมีความสูงจากพื้นถึงหลังคากรงไม่น้อยกว่า 15-16 นิ้ว หรือ 38-41 เซนติเมตร เพื่อให้ไก่ได้ยืนอย่างสบาย
รูปแบบของกรงไก่ไข่ (Type of laying cages)
กรงสาหรับเลี้ยงไก่ไข่มีอยู่หลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบจะเหมาะสมกับสถานการณ์แตกต่างกัน เช่น สภาพอุณหภูมิ สายพันธุ์ไก่ วัสดุที่ใช้ทากรง รูปแบบของโรงเรือน ฯลฯ รูปแบบกรงเลี้ยงไก่ไข่ที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- กรงขังเดี่ยว (Single-bird cage)
- กรงขังรวมขนาดเล็ก (Small, multiple-bird cage)
- กรงขังรวมขนาดใหญ่ (Large, multiple-bird cage)
- กรงขังรวมฝูงขนาดใหญ่ (Colony cage)
- กรงดัดแปลง (Modified cage)
การจัดเรียงกรง (Cage arrangement)
ลักษณะการจัดเรียงกรงไก่ไข่รูปแบบต่าง ๆ สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุดได้ ลักษณะการจัดเรียงกรงมีดังนี้
1. กรงชั้นเดียว (Single-tier) เป็นการจัดวางกรงเพียงชั้นเดียวเหมาะสมกับการเลี้ยงไก่ในเขตร้อน เนื่องการจัดเรียงกรงแบบนี้อากาศสามารถถ่ายเทผ่านตัวไก่ได้ง่าย และไม่มีความร้อนสะสมภายในโรงเรือนอีกด้วย เหมาะสาหรับการเลี้ยงไก่ในโรงเรือนแบบเปิด การจัดเรียงกรงแบบนี้จะเลี้ยงไก่ได้น้อยกว่าแบบอื่นในขนาดโรงเรือนเท่ากัน
2. การวางกรงหลายชั้นในลักษณะเหลื่อมกัน (Multiple-tier, offset cage) การจัดวางกรงแบบนี้นิยมใช้กันมาก เนื่องจากกรงด้านบนจะไม่อยู่เหนือกรงด้านล่างแบบตรง ๆ แต่จะอยู่เยื้อกันทาให้มูลที่ถ่ายออกมาจะไม่ตกลงมาถูกไก่ที่อยู่ด้านล่าง การจัดวางกรงลักษณะนี้บางครั้งจะเรียกว่าการจัดวางแบบขั้นบันได (Stair step) การจัดเรียงกรงแบบนี้จะวางกรงซ้อนกันได้ไม่เกิน 3 ชั้น เนื่องจากจะทาให้การดูแลและการจัดการไก่ในชั้นบนสุดทาได้ลาบาก
3. การวางกรงหลายชั้นในแนวตั้ง (Multiple-tier, stacked cage) การจัดวางกรงในลักษณะนี้สามารถเรียงกรงได้หลาย ระหว่างชั้นแต่ละชั้นจะมีที่รองมูลซึ่งอาจจะเป็นสายพานที่สามารถลาเลียงมูลออกไปทิ้งภายนอกโรงเรือนได้ เป็นแผ่นพลาสติกและมีแผ่นโลหะสาหรับกวาดมูลออกไปก็ได้ การจัดวางกรงลักษณะนี้สามารถเรียงซ้อนกันได้หลายชั้นขึ้นอยู่กับความสูงของโรงเรือน ปกติมักจะมีตั้งแต่ 4-8 ชั้น เป็นระบบที่มีการใช้พื้นที่โรงเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่
การย้ายไก่รุ่นไปยังโรงเรือนไก่ไข่
การย้ายไก่ไข่รุ่นไปยังโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่นั้นสามารถทาได้ตั้งแต่อายุ 14-18 สัปดาห์ ถ้าหากมีการย้ายเมื่อไก่อายุ 20 สัปดาห์ จะถือว่าเป็นการย้ายที่ล่าช้าเกินไปเนื่องจากจะมีไก่บางตัวเริ่มให้ไข่ฟองแรกไปแล้ว เมื่อย้ายไปยังโรงเรือนใหม่จะทาให้การทางานของระบบสืบพันธุ์ชะงักได้ อายุที่เหมาะสมที่สุดในการย้ายไก่ควรอยู่ระหว่าง 16-18 สัปดาห์ ซึ่งจะมีเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ให้ไก่ได้ปรับตัวให้เคยชินกับกรงก่อนที่จะเริ่มให้ไข่ ทาให้ไก่ไม่เครียดก่อนที่จะเริ่มวางไข่ ภายหลังจากย้ายไก่รุ่นไปยังโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่แล้วประมาณ 1 สัปดาห์ จึงเริ่มโปรแกรมการกระตุ้นให้ไก่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์โดยการใช้เพิ่มความยาวแสงและการปรับเปลี่ยนสูตรอาหารมาใช้อาหารสาหรับไก่ก่อนไข่หรืออาหารสาหรับไก่ไข่ต่อไป
การจัดเรียงไก่ตามน้้าหนักตัว (Sorting pullet by weight)
เนื่องจากไก่รุ่นฝูงเดียวกันจะมีน้าหนักตัวที่แตกต่างกัน (ซึ่งจะแตกต่างกันมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสม่าเสมอของน้าหนักตัวในฝูง) จึงทาให้ไก่แต่ละตัวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ไม่พร้อมกัน วางไข่ไม่พร้อมกัน ไก่ตัวที่มีน้าหนักถึงน้าหนักมาตรฐานหรือน้าหนักพิกัดก่อนจะวางไข่ออกมาก่อน ส่วนไก่ตัวที่มีน้าหนักตัวน้อยจะวางไข่ช้ากว่า ดังนั้นจึงควรทาการแยกไก่ตัวที่มีน้าหนักมากกว่าค่าเฉลี่ยไปขังไว้ในพื้นที่เดียวกัน ส่วนไก่ตัวที่มีน้าหนักน้อยกว่าค่าเฉลี่ยก็จะต้องนาไปขังไว้ในพื้นเดียวกันด้วย เพื่อความสะดวกในการจัดการให้อาหารเพื่อควบคุมน้าหนักตัวโดยกลุ่มที่มีน้าหนักต่ากว่าน้าหนักเฉลี่ยของฝูงหรือน้าหนักมาตรฐานจะมีการเพิ่มปริมาณอาหารที่ให้มากขึ้น มีการกระตุ้นให้ไก่กินอาหารมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่มีน้าหนักมากกว่าน้าหนักเฉลี่ยก็จะต้องควบคุมปริมาณอาหารที่กินไม่ให้น้าหนักตัวเพิ่มมากเกินไป ในขณะที่กลุ่มที่มีน้าหนักได้ตามมาตรฐานจะเลี้ยงดูตามปกติและให้อาหารตามโปรแกรมปกติ
จากข้อมูลของมหาวิทยาลัย California ระบุว่า ไก่เล็กฮอร์นขาวที่แบ่งน้าหนักตัวออกเป็น 5 ช่วงตามน้าหนักตัว ปรากฏว่าไก่กลุ่มที่มีน้าหนักน้อยและกลุ่มที่มีน้าหนักมากกว่าน้าหนักเฉลี่ยของฝูงจะให้ผลผลิตไข่น้อยกว่า โดยไก่กลุ่มที่มีน้าหนักตัวน้อยกว่าค่าเฉลี่ยจะเริ่มให้ไข่ช้ากว่า ไก่กลุ่มที่มีน้าหนักใกล้เคียงกับน้าหนักเฉลี่ยของฝูงจะให้ผลผลิตไข่ดีที่สุด ส่วนกลุ่มที่มีน้าหนักตัวมากจะให้ไข่น้อยกว่า แต่กินอาหารมากกว่าและมีอัตราการตายมากกว่าด้วย อย่างไรก็ตาม ไก่ที่มีน้าหนักตัวมากจะให้ไข่ฟองใหญ่กว่า ดังแสดงในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แสดงผลของน้าหนักตัวของไก่เล็กฮอร์นขาวเมื่อเริ่มให้ไข่แตกต่างกันต่อสมรรถภาพการให้ผลผลิต
ปัจจัยที่มีผลต่อการให้ผลผลิตไข่
อายุเมื่อเริ่มไข่ฟองแรก น้าหนักไข่เฉลี่ยของฝูงจะสัมพันธ์กับน้าตัวและอายุเมื่อไก่เริ่มให้ไข่ฟองแรก เนื่องจากอายุเมื่อไก่เริ่มให้ไข่ฟองแรกสามารถควบคุมได้โดยการใช้โปรแกรมการให้แสงสว่างและการควบคุมอาหารหรือควบคุมน้าหนักตัว แต่ต้องจาไว้ว่าการควบคุมให้ไก่ออกไข่ฟองแรกช้าออกไปจะทาให้ต้นทุนการผลิตไข่ต่อตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้เลี้ยงจะต้องพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ราคาไข่ และความต้องการของตลาดด้วย อย่างไรก็ตาม อายุเมื่อให้ไข่ฟองแรกควรจะอยู่ระหว่าง 19-20 สัปดาห์จะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุด และหลังจากที่ไก่เริ่มให้ไข่ฟองแรกไปแล้วประมาณ 5 สัปดาห์ไก่ฝูงนั้นก็ควรจะมีเปอร์เซ็นต์การไข่ต่อวันประมาณ 50%
การตายระหว่างการเลี้ยง
การตายของไก่ระหว่างการเลี้ยงและการให้ผลผลิตไข่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพและข้อผิดพลาดของการจัดการ การตายของไก่ไม่เพียงแต่เป็นการสูญเสียไก่เท่านั้น และยังสูญเสียไข่และผลกาไรที่จะได้อีกด้วย ถ้าหากมีไก่ตายเป็นจานวนมากก็อาจจะทาให้ผู้เลี้ยงขาดทุนได้เนื่องจากการตายในอัตราที่สูงจะทาให้ต้นทุนการผลิตไข่ต่อฟองเพิ่มขึ้น
การคัดไก่ (Culling the laying flock)
การคัดไก่ที่ไข่ไม่ดกหรือไม่ให้ไข่ออกไปควรจะทาตลอดระยะเวลาของการเลี้ยง ไก่ที่บาดเจ็บ ป่วย หรืออ่อนแอควรจะนาออกไปทันทีเมื่อพบเห็น อย่างไรก็ตาม การคัดไก่ควรจะเริ่มกระทาหลังจากที่ไก่ให้ไข่ครบ 10 สัปดาห์ไปแล้ว นอกจากนี้ก่อนที่จะครบกาหนดปลดไก่จากฝูงก็ควรจะมีการคัดไก่ที่ไม่ไข่ ให้ไข่ไม่ดี ไก่ป่วย ไก่ผลัดขน และไก่ที่มีอาการมดลูกทะลักออกอีกรอบ
การคัดไก่ที่ไข่ไม่ดกหรือไม่ให้ไข่โดยดูจากลักษณะภายนอก ที่สังเกตเห็นได้เช่น หงอนของไก่ที่ให้ผลผลิตไข่ดีจะมีลักษณะใหญ่และสดใส ทวารร่วมจะขยายใหญ่ก้นเปียกชื้น มีการสะสมไขมันในร่างกายทาให้ผิวหนังบริเวณท้องหย่อน กระดูกเชิงกรานถ่างกว้าง ลักษณะต่าง ๆ ของไก่ที่ให้ไข่ดกและไม่ให้ไข่สรุปไว้ในตารางที่ 2
การคงอยู่หรือการขาดรงควัตถุสีเหลืองในชั้นไขมันใต้ผิวหนังและหน้าแข้งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณของรควัตถุคาโรทีนอยด์ในอาหาร ซึ่งรงควัตถุจากสารคาโรทีนอยด์ เช่น แซนโทฟิลล์ยังมีผลต่อการเกิดสีเหลืองในไข่แดงด้วย เมื่อไก่สาวเริ่มไข่ สารแซนโทฟิลล์ส่วนใหญ่ในอาหาร และในผิวหนังจะถูกนาไปสะสมอยู่ในไข่แดง ทาให้เกิดการซีดของผิวหนัง และตามอวัยวะในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้นระยะเวลาในการซีดของผิวหนังจึงใช้เป็นตัวดัชนีบ่งชี้ระยะเวลาที่ไก่ไข่ ลาดับการซีดจางของรงควัตถุในชั้นผิวหนัง แสดงในตารางที่ 3 เมื่อแม่ไก่วางไข่ได้ประมาณ 180 ฟอง ผิวหนังจะมีสีออกน้าเงินขาว
ตารางที่ 2 สรุปลักษณะของอวัยวะต่าง ๆ บนตัวไก่ที่ให้ไข่ดกและไม่ไข่หรือไข่ไม่ดี
การจัดการแสงสว่างสำหรับไก่ไข่ขังกรง
การเพิ่มความยาวแสง เพื่อกระตุ้นการเป็นหนุ่มเป็นสาวจะกระทาเมื่อไก่มีน้าหนักตัวถึงน้าหนักมาตรฐานที่กาหนดไว้หรือน้าหนักพิกัด ซึ่งไก่แต่ละสายพันธุ์จะมีน้าหนักตัวไม่เท่ากัน เช่น ไก่เล็กฮอร์นขาวจะมีน้าหนักตัวประมาณ 1.25-1.35 กิโลกรัม ส่วนไก่ไข่สีน้าตาลจะมีน้าหนักตัวประมาณ 1.35-1.50 กิโลกรัม
การเพิ่มความยาวแสงต่อวันแบบกะทันหันหรือการเพิ่มอย่างรวดเร็วจะทาให้ไก่มีโอกาสเกิดมดลูกทะลัก (Prolepses) มากขึ้น ดังนั้น ถ้าหากอายุถึงวัยเจริญพันธุ์ในขณะที่เลี้ยงอยู่ภายใต้ความยาวแสง 11-12 ชั่วโมง/วัน การเพิ่มความยาวแสงครั้งแรกจะต้องเพิ่มความยาวแสงขึ้นไปไม่เกิน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์ หลังจากนั้นจึงควรเพิ่มความยาวแสงสัปดาห์ละ 15 นาที จนกระทั่งมีความยาวแสงตามที่กาหนด ความยาวแสงต่อวันที่เหมาะสมเพื่อให้ไก่ไข่ให้ผลผลิตไข่สูงที่สุดควรอยู่ที่ประมาณ 15-16 ชั่วโมง/วัน
ช่วงเวลาการให้แสง
ปกติความยาวแสงต่อวันจะผันแปรไปตามฤดูกาลและตาแหน่งบนโลก พื้นที่ที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรดวงอาทิตย์จะตั้งฉากกับโลกมากที่สุดและระยะเวลาช่วงกลางและกลางคืนค่อนข้างคงที่เกือบตลอด ทั้งปี ในขณะที่พื้นที่ที่อยู่ค่อนไปทางขั้วโลกเหนือ หรือขั้วโลกใต้ ตาแหน่งของดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลทำให้ความยาวแสงในแต่ละวันจะแตกต่างกันตามฤดูกาลยิ่งพื้นที่นั้นอยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากเท่าไรความแตกต่างของความยาวแสงต่อวันในแต่ละฤดูกาลจะยิ่งมากขึ้นดังนั้นในพื้นที่ที่อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรจึงต้องมีการปรับเวลาในการเปิดไฟเพื่อให้แสงสว่างเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก
ความยาวแสงต่อวันมากกว่า 11-12 ชั่วโมงสามารถกระตุ้นฮอร์โมนเพศให้มีการสร้างฟองไข่ได้ แต่ถ้าจะให้ได้ผลการกระตุ้นสูงสุดก็ควรจะให้มีความยาวแสงไม่น้อยกว่า 14 ชั่วโมง/วัน การเพิ่มความยาวแสงต่อวันมีวิธีการเพิ่ม 3 วิธีดังนี้
- เพิ่มให้เฉพาะตอนเช้ามืด
- เพิ่มให้เฉพาะตอนค่า
- เพิ่มให้ตอนเช้ามืดและตอนค่า
การเพิ่มความยาวแสงโดยการเปิดไฟเพิ่มเติมในช่วงตอนเช้ามืดและช่วงค่าจนกระทั่งไก่ได้รับความยาวแสงครบตามกาหนดเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากการปรับใช้และการชดเชยความยาวแสงตามเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและตกทาได้สะดวก ในขณะที่วิธีการเพิ่มแสงเฉพาะตอนเช้ามืดหรือเฉพาะตอนค่าเพียงอย่างเดียวนั้นจะทาให้การชดเชยความยาวแสงที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลทาได้ยาก อย่างไรก็ตาม การเปิดไฟฟ้าในช่วงเย็นเพื่อเพิ่มความยาวแสงหรือเพื่อให้ไก่ได้รับความยาวแสงครบตามที่กาหนดไว้นั้นควรจะเปิดสวิทช์ก่อนที่จะถึงเวลาดวงอาทิตย์ตกประมาณ 30 นาที และการปิดไฟในตอนเช้าก็ควรจะปิดหลังจากที่ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วประมาณ 30 นาทีเช่นกัน
การเก็บไข่
ควรเก็บไขให้บ่อยครั้งเท่าที่จะทาได้ หรืออย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง หลังเก็บไข่แล้วควรจะทาความสะอาด แล้วเก็บไข่ไว้ในห้องเย็น ถ้าเก็บไว้หลายวันควรเก็บไข่ที่อุณหภูมิ 50-55 °ฟ และมีความชื้นสัมพัทธ์ 75-80 % เพื่อรักษาสภาพของไข่ไว้ให้สดอยู่เสมอ
การให้ผลผลิตของไก่ไข่
เมื่อไก่เริ่มให้ไข่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาค และทางสรีรวิทยาที่เห็นอย่างชัดเจน ได้แก่ความถี่ในการให้ผลผลิตไข่ ขนาดไข่ ขนาดตัวไก่ และประสิทธิภาพในการให้ผลผลิต ซึ่งการให้ไข่ของไก่จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 : ช่วงผลผลิตไข่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงจุดสูงสุด
ความถี่ในการวางไข่ หรือผลผลิตไข่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากฝูงไก่เริ่มไข่ได้ 5% จนกระทั่งผลผลิตไข่เพิ่มขึ้นสูงสุด (Peak) เมื่อเริ่มไข่ได้ประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งจะเกิดร่วมกับการเพิ่มขนาดไข่และน้าหนักตัว ช่วงเวลาดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการจัดการยิ่งมีการจากัดอาหารมากในช่วงไก่รุ่น ทาให้ไก่มีน้าหนักตัวต่ากว่ากาหนด ไก่จะเริ่มไข่ช้า และระยะเวลาที่ไก่จะให้ผลผลิตไข่สูงสุดก็เลื่อนออกไป ในกรณีที่ไก่ทั้งหมดสามารถให้ผลผลิตไข่สูงสุดได้ในวันเดียวกัน เส้นกราฟของการให้ผลผลิตจะชันมาก แต่โดยทั่วไปแล้วอายุเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ของไก่แต่ละตัวในฝูงจะไม่เท่ากัน ไก่บางตัวจะเริ่มให้ไข่ช้า ทาให้ผลผลิตไข่เพิ่มขึ้นสูงสุดช้ากว่าไก่ตัวอื่น ๆ ดังนั้น ถ้าฝูงไก่ ไม่มีความสม่าเสมอของน้าหนักตัวแล้ว เส้นกราฟของการให้ผลผลิตไข่จะไม่ชันมาก
ระยะที่ 2 : ช่วงผลผลิตไข่ลดลงเป็นเส้นตรง
ผลผลิตปกติ หรือมาตรฐานจะลดลงในเปอร์เซ็นต์ที่เท่ากันทุกสัปดาห์ หลังจากผลผลิตไข่เพิ่มขึ้นสูงสุด ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตอบสนองทางพันธุกรรม ซึ่งผันแปรไปตามพันธุ์ และสายพันธุ์ ถ้ามีการจัดการที่ดีการให้ผลผลิตไข่จะค่อย ๆ ลดลงเป็นเส้นตรง แต่ถ้ามีเหตุใดเหตุหนึ่งที่ทาให้ไก่เกิดความเครียด หรืออยู่ในสภาวะอากาศร้อน จะทาให้อัตราการลดลงของผลผลิตจะลดลงมากมากกว่ามาตรฐาน ในช่วงนี้ขนาดไข่จะใหญ่ขึ้นและน้าหนักตัวจะเพิ่มขึ้นซึ่งเกิดจากการสะสมไขมันในช่องท้อง
ระยะที่ 3 : ระยะสุดท้ายก่อนที่ไก่จะหยุดไข่และผลัดขน
ระยะนี้ผลผลิตไข่จะลดลงอย่างมากจนกระทั่งหยุดไข่ ไก่จะเริ่มผลัดขน ขนาดไข่จะไม่ลดลง แต่ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนอาหารจะเลวลงหลังจากการผลัดขนแล้วไก่จะเริ่มไข่อีกครั้ง การไข่ของแม่ไก่ในรอบปีที่ 2 และปีถัดไปจะเหมือนกับการไข่ในปีแรก แต่ผลผลิตไข่สูงสุดจะต่ากว่า และระยะเวลาในการไข่จะสั้นกว่าในรอบปีแรกประมาณ 20% ไข่ที่ได้ในรอบปีที่ 2 จะมีขนาดใหญ่กว่าแต่เปลือกไข่จะบางกว่า อัตราการตายของไก่ตั้งแต่เริ่มไข่จนถึงหยุดไข่ในรอบปีแรกประมาณ 10 - 20%ในช่วงการให้ผลผลิตของไก่แต่ละฝูงควรให้ผลผลิตไข่สูงสุดอย่างรวดเร็วช่วงแรกของการให้ผลผลิตเป็นช่วงที่วิกฤตินอกจากนี้ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตไข่สูงสุดและผลผลิตไข่ตลอดทั้งปีจะมีความใกล้ชิดกันมาก กล่าวคือ เพื่อที่จะให้ผลผลิตไข่เป็นไปตามมาตรฐานไก่ฝูงนี้จะต้องเริ่มจากการให้ผลผลิตไข่ที่สูงสุดในช่วงให้ผลผลิตสูงสุดถ้าผลผลิตไข่ในช่วงนี้ต่าจะไม่สามารถชดเชยผลผลิตเหล่านั้นในช่วงต่อมา เช่น ถ้าฝูงไก่ให้ผลผลิตต่ากว่ามาตรฐาน 10% ในช่วงที่ไก่ให้ผลผลิตสูงสุด ไก่ฝูงนี้จะยังคงให้ผลผลิตต่ากว่ามาตรฐาน 10% ตลอดระยะเวลาที่เหลือของการไข่
ในช่วง 6 สัปดาห์แรกของการให้ผลผลิต ฝูงไก่ที่ให้ผลผลิตลดลงเนื่องจากความ เครียด โรค หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่ทาให้ผลผลิตไข่ไม่ต่อเนื่องในอัตราปกติ ฝูงไก่จะต้องใช้เวลาหลายวัน หรืออาจนานเป็นสัปดาห์ก่อนที่จะปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อผู้เลี้ยง ผลผลิตของฝูงที่ต่ากว่ามาตรฐานในช่วงที่ไก่ให้ผลผลิตสูงสุดจะไม่มีการสร้างชดเชยฝูงไก่จะขาดความสม่าเสมอหลังจากฟื้นตัว เส้นกราฟแสดงการให้ผลผลิตที่ได้จะมีลักษณะเป็นเส้นโค้งไม่ชันมาก แต่ถ้าเกิดความเครียดหลังจากผ่านช่วงให้ผลผลิตสูงสุดไปแล้วจะไม่ส่งผลรุนแรงเท่าช่วงแรกผลผลิตไข่หลังจากฟื้นตัวจะได้เปอร์เซ็นต์ไข่ที่เหมือนกับมาตรฐาน แต่ผลผลิตที่หายไปจะไม่มีการสร้างชดเชยเช่นกัน
วีดีโอการเลี้ยงไก่ไข่
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น