วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หอยและหมึกทะเล

หอยและหมึกทะเล
  พวกหอยและหมึกทะเล สัตว์จำพวกนี้ลำตัวนิ่ม มีหัวใจสูบฉีดเลือด หอยเคลื่อนที่ได้โดยกล้ามเนื้อที่ยื่นออกจากตัว ส่วนหมึกทะเลเคลื่อนที่โดยใช้หนวด และการพ่นน้ำออกจากลำตัว สัตว์พวกนี้ส่วนใหญ่หายใจด้วยปอดและผิวหนัง สืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ ออกลูกเป็นไข่ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำเค็ม เช่น หอยและหมึกทะเล บางชนิดอาศัยอยู่บนบก เช่น แมลงภู่

    หอยแมลงภู่ (อังกฤษ: Asian green mussel; ชื่อวิทยาศาสตร์: Perna viridis) จัดอยู่ในไฟลัมมอลลัสคาเป็นหอยสองฝา สีของเปลือกเปลี่ยนไปตามสภาพการอยู่อาศัย กล่าวคือ ถ้าอยู่ใต้น้ำตลอดเวลามีสีเขียวอมดำ ถ้าอยู่บริเวณน้ำขึ้นน้ำลง ถูกแดดบ้างเปลือกจะออกเหลือง เปลือกด้านนอกมีสีเขียว ส่วนท้ายจะกว้างกว่าส่วนหน้า เนื้อหอยมีสีเหลืองนวลหรือสีส้ม มีหนวดหรือเส้นใยเหนียวสำหรับเกาะหลักเรียกว่า เกสร หรือ ซัง
   หอยแมลงภู่ ขนาดความยาวของเปลือกหอยที่สามารถสืบพันธุ์ได้มีความยาวตั้งแต่ 2.13 เซนติเมตรขึ้นไป มีความยาวตั้งแต่ 4-20 เซนติเมตร เป็นหอยที่กระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลแถบอินโดแปซิฟิก กินอาหารแบบกรองกิน ซึ่งกินได้ทั้งแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ หอยแมลงภู่มีทั้งเพศแยก และมีสองเพศในตัวเดียวกัน มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว หอยเพศผู้จะมีลำตัวหรือที่ห่อหุ้มตัวสีครีมหรือขาว ส่วนเพศเมียจะมีสีส้ม มีช่วงฤดูสืบพันธุ์อยู่ 2 ช่วงในรอบ 1 ปี คือช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์

แหล่งที่อยู่อาศัยและการแพร่กระจาย

   หอยแมลงภู่แพร่กระจายทั่วไปในเขตอบอุ่นและเขตร้อน ทั่วทั้งในยุโรป เอเชีย และอเมริกา หอยแมลงภู่ในประเทศไทยมีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Perna viridis Linnaeus, ๑๗๕๘ สามารถพบแพร่กระจายอยู่ทั่วไปแทบทุกจังหวัดชายฝั่งทะเล ทั้งชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยและอันดามัน



อาหารและการกินอาหาร

   หอยแมลงภู่กินอาหารโดยการกรองอาหารจากมวลน้ำทะเล อวัยวะที่ใช้ในการกรองอาหารคือ เหงือก หอยจะดูดน้ำทะเลผ่านเข้ามาในเปลือก และเหงือกจะกรองอาหารและส่งเข้าปากผ่านทางเดินอาหาร ส่วนกากอาหารและตะกอนจะถูกขับออกทางทวารหนัก ซึ่งเปิดออกทางท้ายลำตัว อาหารส่วนใหญ่เป็นแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ขนาดเล็ก โปรโตซัว และอินทรีย์วัตถุที่แขวนลอยในน้ำทะเล



ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของหอยแมลงภู่
การเจริญเติบโตของหอยแมลงภู่จะช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้

๑. อาหารจากธรรมชาติ อาการของหอยแมลงภู่ส่วนใหญ่เป็นสัตว์และพืชขนาดเล็กที่เรียกว่า "แพลงก์ตอน" ซึ่งลอยปะปนอยู่ในน้ำทะเล หอยแมลงภู่จะกินโดยการดูดน้ำเข้าไปแล้วกรองเอาอาหารโดยใช้การโบกพัดของขนตามซี่เหงือก ถ้าบริเวณเลี้ยงหอยมีอาหารอุดมสมบูรณ์หอยจะเจริญเติบโตเร็ว

๒. ความขุ่นของน้ำ ถ้าน้ำขุ่นมากตะกอนจะไปเกาะตามซี่เหงือกของหอย ทำให้ระบบหายใจและการกรองอาหารทำงานไม่ปกติ นอกจากนี้ยังมีผลทำให้แพลงก์ตอนที่เป็นอาหารของหอยแมลงภู่มีน้อยลง เนื่องจากไปบังแสงแดดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสังเคราะห์แสง

๓. ภาวะน้ำจืดไหลลงในทะเล เป็นผลให้น้ำทะเลมีความเค็มต่ำเป็นครั้งคราว ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารที่มีอยู่ลดลง ทำให้สภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป และถ้าหอยแมลงภู่อยู่ในน้ำที่มีความเค็มต่ำนานไปจะทำให้หอยชะงักการเจริญเติบโต อัตราการตายเพิ่มสูงขึ้นเป็นผลให้ได้ผลผลิตน้อยลง

๔. ภาวะน้ำเสีย ภาวะน้ำเสียที่ผู้เลี้ยงหอยประสบมักเป็นน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งประกอบด้วยสารพิษและโลหะหนักต่างๆ ถ้าแหล่งเลี้ยงหอยอยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรม หอยแมลงภู่จะได้รับสารพิษและโลหะหนักต่าง ๆ เหล่านี้ และทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้

๕. ความเค็มของน้ำ หอยแมลงภู่จะเจริญเติบโตได้ในแหล่งน้ำกร่อยและน้ำเค็ม ความเค็มที่เหมาะสมในการเลี้ยงหอยแมลงภู่จะอยู่ในช่วง ๒๕-๓๓ ส่วนในพัน (ppt) ถ้าน้ำมีความเค็มสูงหรือต่ำกว่านี้จะเป็นผลให้อัตราการกรองอาหารของหอยแมลงภู่ช้าลง

๖. ระยะเวลาที่หอยอยู่ในน้ำ หอยที่อยู่ในน้ำตลอดเวลาจะโตได้ดีกว่าหอยที่อยู่ในน้ำบางช่วงเวลา เนื่องจากหอยที่อยู่ในน้ำตลอดเวลาจะได้รับอาหารตลอดเวลา

๗. กระแสน้ำและคลื่นลม หอยแมลงภู่เป็นหอยที่เกาะอยู่กับที่ ดังนั้น ต้องอาศัยกระแสน้ำที่ไหลเวียนอย่างช้าและสม่ำเสมอพัดพาอาหารธรรมชาติมาให้

๘. อุณหภูมิของน้ำ บริเวณเลี้ยงหอยแมลงภู่ของประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณที่เป็นอ่าวและชายฝั่งทะเล ซึ่งมีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอยู่ในช่วง ๒๕-๓๐ องศาเซลเซียส แต่ในบางแหล่งที่เลี้ยงในเขตน้ำตื้น อุณหภูมิของน้ำจะสูงมากในช่วงเวลาเที่ยงถึงบ่าย โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนเมื่อระดับน้ำทะเลต่ำสุด จะเป็นผลให้หอยแมลงภู่ไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิที่สูงเป็นระยะเวลานานได้ จึงทำให้หอยมีอัตราการตายสูง

๙. พื้นที่สำหรับการยึดเกาะ เมื่อหอยแมลงภู่มีขนาดโตขึ้นก็มีความต้องการพื้นที่ยึดเกาะเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าหากหอยแมลงภู่มีปริมาณความหนาแน่นมาก หอยที่ตัวโตกว่าแข็งแรงกว่าจะเบียดหอยที่อ่อนแอกว่าร่วงหล่นไป นอกจากนี้ถ้าปริมาณหอยแมลงภู่ที่เกาะมีความหนาแน่นมาก จะทำให้การเจริญเติบโตช้ากว่าในพื้นที่ที่มีปริมาณความหนาแน่นของหอยแมลงภู่ที่เหมาะสม

๑๐. ศัตรูของหอยแมลงภู่ ศัตรูของหอยแมลงภู่ในธรรมชาติได้แก่ ปลา โดยเฉพาะพวกที่มีฟันแหลม เช่น ปลากระเบน นอกจากนี้ยังมีสัตว์กลุ่มอื่น ๆ เช่น ดาวทะเล เม่นทะเล ปูใบ้ ส่วนสัตว์ที่แย่งที่อยู่ของหอยแมลงภู่ได้แก่ เพรียงหิน ฟองน้ำ เป็นต้น

การเลือกสถานที่

ทำเลพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับเลี้ยงหอยแมลงภู่เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการประกอบอาชีพการเลี้ยงหอยแมลงภู่ จึงมีข้อควรพิจารณาดังนี้

๑ ควรเป็นแหล่งน้ำที่มีพันธุ์หอยแมลงภู่เกิดชุกชุมตามธรรมชาติ

๒ ต้องเป็นแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำเค็มและคงสภาพความเค็มอยู่เป็นเวลานานประมาณ ๗ - ๙ เดือนในรอบปี

๓ ควรเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยจากกระแสน้ำคลื่นลมแรง

๔ ควรเป็นแหล่งน้ำที่อยู่ห่างไกลจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งอาจถ่ายเทน้ำเสียอันเป็นพิษเป็นภัยต่อสัตว์น้ำ

๕ แหล่งเลี้ยงหอยแมลงภู่ควรเป็นแหล่งน้ำตื้นชายฝั่ง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำลึกประมาณ ๓ - ๑๐ เมตร

๖ แหล่งเลี้ยงหอยแมลงภู่หากมีทางเลือกควรอยู่ใกล้ตลาด การคมนาคมสะดวก และห่างไกลจากแหล่งมิจฉาชีพ

 ประเภทการเลี้ยง

การเลี้ยงหอยแมลงภู่มีหลายแบบแต่ละแบบเหมาะที่จะใช้ตามลักษณะภูมิประเทศและสภาวะแวดล้อม การที่จะเลี้ยงแบบใดนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาตามความเหมาะสมซึ่งรูป แบบที่นิยมมีดังนี้

๑ การเลี้ยงแบบปักหลักล่อลูกหอย
  การเลี้ยงแบบนี้เหมาะสมที่จะดำเนินการในพื้นที่ย่านน้ำตื้น ซึ่งมีความลึกประมาณ ๔ - ๖ เมตร ตามบริเวณชายฝั่งทะเลที่มีสภาพเป็นอ่าวทั่วไป พื้นทะเลตั้งแต่เส้นขอบฝั่งออกไปไม่ลาดชันเกินไป สภาพดินเป็นโคลน และโคลนปนทราย ระดับน้ำสูงสุดและต่ำสุดไม่แตกต่างกันมากนัก เป็นแหล่งน้ำที่มีแพลงก์ตอนอาหารตามธรรมชาติของหอยเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ หากมีเกาะแก่งกระจายกันอยู่และบางบริเวณมีภูเขาที่ตั้งอยู่ชายน้ำจะช่วยเป็นเครื่องกำบังคลื่นลมและกระแสน้ำได้ดี


หลักล่อลูกหอย

  แหล่งเลี้ยงหอยแมลงภู่ของประเทศไทยจะมีลูกหอยเกิดแทบทุกเดือนตลอดทั้งปี แต่ฤดูวางไข่จะมีลูกหอยเกาะจำนวนมาก พบในช่วงเดือนเมษายน-กรกฎาคม ช่วงหนึ่ง และอีกช่วงหนึ่งในเดือนตุลาคม-ธันวาคมของทุกปี ในช่วงหลังนี้มีลูกหอยชุกชุมมากกว่าช่วงแรก เกษตรกรผู้เลี้ยงหอยจึงต้องเตรียมปักหลักไม้เพื่อให้แล้วเสร็จก่อนที่ลูกหอย จะเริ่มเกาะประมาณ ๑-๒ สัปดาห์ หลักที่ใช้กันทั่วไปเป็นไม้ไผ่รวก ไม้ไผ่นวล และไม้เป้ง ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓-๕ เซนติเมตร ยาว ๕-๖ เมตร โดยจะปักเรียงกันเป็นแถว ไม้ไผ่แต่ละต้นปักให้ลึก ๑-๑.๕ เมตร และมีความเอียงทำมุมกับพื้นทะเลประมาณ ๖๐ องศา ทั้งนี้ใช้ไม้เอียงไปทางขวาและทางซ้ายสลับกันไปทุกต้น การที่ปักหลักไม้เอียงดังกล่าวก็เพื่อช่วยให้การหักโค่นลดน้อยลงเมื่อหอยมีขนาดโตขึ้นและน้ำหนักมากขึ้น รวมทั้งป้องกันการเสียดสีเมื่อมีกระแสน้ำไหลแรง ซึ่งจะทำให้หอยหล่นเสียหายได้
   ในพื้นที่เลี้ยงหอย ๑ ไร่(๑๖๐๐ ตารางเมตร) จะปักหลักไม้จำนวนประมาณ ๑,๒๐๐ ต้น โดยแบ่งออกเป็น ๔ แถว แถวละ ๓๐๐ ต้น หรืออาจเพิ่มจำนวนไม้และเพิ่มจำนวนแถวได้ตามความเหมาะสม แต่ไม่ควรปักเกิน ๑,๖๐๐-๑๘๐๐ ต้น เพราะจะทำให้มีความหนาแน่นมากเกินไป เป็นผลให้หอยได้รับอาหารไม่เพียงพอและเจริญเติบโตช้า
   การเจริญเติบโตของลูกหอยที่เริ่มเกาะหลักไม้ ประมาณว่าเมื่อลูกหอยมีอายุ ๗ เดือน จะมีความยาวเฉลี่ย ๕.๘๖ เซนติเมตร ซึ่งจัดว่าเป็นขนาดที่สามารถส่งจำหน่ายแก่ผู้บริโภคต่อไปได้ การที่ลูกหอยมีขนาดหนาแน่นมากเกินไปไม่เพียงแต่ทำให้มีอัตราการตายสูงมากเท่านั้น แต่จะเป็นผลให้หอยมีการเจริญเติบโตช้าลงอีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากหอยต้องแย่งอาหารกัน
   ต้นทุนการเลี้ยงหอยแมลงภู่แบบปักหลักเลี้ยงโดยตรงซึ่งเฉลี่ยทุกท้องที่จากผลการสำรวจในปี ๒๕๒๘ เท่ากับ ๑๒,๙๙๕.๑๑ บาทต่อไร่ เป็นต้นทุนคงที่ ๗๓๘.๖๘ บาท และต้นทุนผันแปร ๑๒,๒๕๖.๔๓ บาท หรือร้อยละ ๕.๖๘ และ ๙๔.๓๒ ของต้นทุนทั้งหมด โดยเป็นค่าไม้หลักมากที่สุด ๖,๓๔๑.๓๔ บาท และคิดเป็นร้อยละ ๔๘.๘๐ ของต้นทุนทั้งหมด รองลงมาเป็นค่าแรงงาน ๓,๘๐๒.๑๖ บาท/ไร่ เป็นค่าจ้างแรงงาน ๓,๒๒๘.๕๒ บาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ ๒๔.๘๔ ของต้นทุนทั้งหมด และเมื่อพิจารณาต้นทุนโดยเฉลี่ยต่อผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้เท่ากับต้นละ ๗๘๕.๗๒ บาท โดยเป็นต้นทุนผันแปร ๗๔๑.๐๖ บาท และต้นทุนคงที่ ๔๔.๖๖ บาทต่อตัน

๒ การเลี้ยงแบบแพ
   ขนาดของแพมีหลายขนาดตั้งแต่ ๒๕ ตารางเมตร, ๗๕ ตารางเมตร และ ๑๕๐ ตารางเมตร เป็นต้น วัสดุที่ใช้ประกอบด้วยไม้เนื้อแข็งหรือไม้ไผ่ หรือวัสดุชนิดอื่นๆ ประกอบกันเป็นแพ จำนวน ๗ แถว ยาวกันห่างแถวละ ๑/๒ เมตร ทุ่นลอยใช้โฟมถังน้ำมัน หรือถังพลาสติกขนาด ๒๐๐ ลิตร ประกอบหัวท้ายสามารถรับเชือกเลี้ยงหอยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๔ มม. ยาว ๓ เมตร ได้ไม้ละ ๓๕ เส้น ระยะเวลาการเลี้ยง ๘ เดือน จะได้น้ำหนักหอยประมาณ ๑,๒๐๐ กก. ขนาดแพอาจประกอบกันได้หลายชุดและตรึงไว้ด้วยสมอขนาด ๑๕ กก. โดยใช้เชือกสมอ มีความยาว ๕ เท่าของความลึกของน้ำ บริเวณใดกระแสน้ำแรงจัดก็เพิ่มได้ตามความเหมาะสม กรณีที่ต้องการสร้างแพด้วยท่อเหล็กควรทาสีกันสนิมด้วย การเลี้ยงหอยแมลงภู่แบบแพเชือกก็เป็นวิธีเลี้ยงอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถเลี้ยงได้บริเวณคลื่นลมแรงพอสมควร พื้นดินเป็นดินแข็ง หรือบริเวณที่ปักไม้ไม่ลงก็สามารถเลี้ยงได้ ส่วนตัวแพที่เลี้ยงมีความคงทนมีอายุการใช้งานหลายปี วัสดุที่ใช้หาง่ายมีจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป

แพเลี้ยงหอยแลมงภู่

ปัจจุบันมีการพัฒนาการเลี้ยงหอยแมลงภู่แบบแพเชือกซึ่งใช้วัสดุและอุปกรณ์ในการประกอบแพเชือก ดังนี้

ก เชือกโพลีโพรพีลีน (polypropylene = pp) หรือ โพลีเอธทีลีน (polyethylene = pe) ขนาด ๖-๘ และ ๒๐ มิลลิเมตร
ข ถังทุ่นขนาด ๒๐-๓๐ ลิตร
ค ทุ่นสมอปูนขนาด ๖๐-๘๐ ซม.
ง. กระชังเหล็กสำหรับเป็นพาหนะเคลื่อนย้ายทุ่นสมอปูนขนาด ๒ x ๒ ตารางเมตร
จ. เนื้ออวนขนาดตาเหยียด ๖ เซนติเมตร ขนาดเส้นเชือก ๗๐๐D/๑๕

สำหรับการประกอบตัวแพ ขนาด ๔๐ x ๔๐ ตารางเมตร มีการดำเนินงานตามขั้นตอนต่างๆ คือ

๑ การถักแพเชือก ขนาด ๔๐ x ๔๐ ตารางเมตร นำ เชือกขนาด ๑๖ มิลลิเมตร ตัดยาว ๕๐ เมตร มาถักให้ได้ขนาดตา ๑ x ๑ ตารางเมตร กว้าง ๔๐ เมตร ซึ่งจะเท่ากับพื้นที่ ๑ ไร่ เมื่อถักเสร็จแล้วใช้เชือกขนาด ๒๐ มิลิเมตร วางรอบนอกตัวแพและในส่วนปลายของเชือก ๑๖ มิลลิเมตร ผูกติดกับเชือก ๒๐ มิลลิเมตร รอบนอกเพื่อให้ตัวแพมีสภาพคงทนและแข็งแรง

๒ การผูกถังทุ่น ขนาด ๒๐-๓๐ ลิตร เมื่อถักเชือก ขนาด ๑๖ มิลลิเมตร เป็นตัวแพเรียบร้อยแล้ว มีขนาด ๔๐ x ๔๐ ตารางเมตร ตัวแพจะมีแถวตามแนวตั้ง ๔๑ แนว แถวแนวนอน ๔๑ แนว นำถังทุ่นขนาด ๒๐-๓๐ ลิตร ใช้เชือกขนาด ๖-๘ มิลลิเมตร ผูกถังทุ่นที่ปมให้แน่นโดยผูก ๖ แถว ตามแนวตั้ง เว้นแถวเพื่อต้องการให้เรือเข้าทำงานในตัวแพได้ ซึ่งจะทำให้สะดวกในการซ่อมแซม และเก็บเกี่ยว ทำการผูกถังทุ่นจนหมดพื้นที่ ๑ ไร่

๓ การเตรียมทุ่นสมอปูน นำท่อนเหล็กปล้องอ้อย ขนาด ๐.๖ นิ้ว ยาว ๑ เมตร และเหล็กหูแหนบ ๒ อัน มาเชื่อมให้ติดกันที่หัว-ท้ายของปลายเหล็ก เพื่อทำเป็นห่วงนำไปวางตรงกลางในท่อปูนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๖๐-๘๐ เซนติเมตร เทปูนภายในจะได้ทุ่นสมอปูนสำหรับยึดตัวแพใน ๑ แพ จะใช้ทุ่นสมอปูนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๖๐ เซนติเมตร ๖ ลูก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๘๐ เซนติเมตร ๖ ลูก

๔ การเคลื่อนย้ายทุ่นสมอปูน อาศัยช่วงน้ำขึ้นโดยให้น้ำขึ้นสูงกว่าทุ่นสมอปูนประมาณ ๑ เมตร ใช้กระชังเหล็กขนาด ๒ x ๒ ตารางเมตร อยู่ด้านบนทุ่นสมอปูน ใช้แรงงานคน ๕-๖ คน อยู่บนกระชัง นำเชือก ๑๖ มิลลิเมตร ยาว ๔ เมตร จำนวน ๒ เส้น ปลายเชือกทั้ง ๒ เส้น ผูกที่ตัวกระชังใกล้กับห่วงทุ่นสมอปูน ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งร้อยเข้าห่วงเหล็กนำมาผูกกับตัวกระชัง การผูกต้องผูกให้ตึง แต่ให้แก้ง่ายเพื่อสะดวกในการปล่อยทุ่นลงสู่พื้นในทะเล ต่อจากนั้นย้ายคนสลับด้านไปอยู่ฝั่งตรงข้ามทำเช่นเดียวกับครั้งแรก เมื่อผูกเสร็จแล้วคนลงจากกระชัง กระชังจะลอยขึ้น ช่วงกระชังลอยขึ้น จะดึงทุ่นสมอปูนขึ้นจากพื้นดิน ใช้เรือลากตัวแพไปทิ้งทุ่นสมอปูนตามจุดที่ต้องการ

๕ การนำแพเชือกลงทะเล ทิ้งทุ่นสมอปูนเส้นผ่าศูนย์กลาง ๘๐ เซนติเมตร ก่อน ๔ มุม ห่างกันประมาณ ๑๐๐ เมตร เมื่อทิ้งเสร็จใช้เรือลากแพลงทะเล ใช้เชือกขนาด ๒๐ มิลลิเมตร ผูกสมอยึดแพไว้ ๔ มุม ก่อน ต่อไปเอาทุ่นสมอปูน ๘๐ เซนติเมตร ดึงด้านหน้า ๒ ลูก ส่วนด้านข้างอีก ๓ ด้าน ใช้ทุ่นสมอปูนเส้นผ่าศูนย์กลาง ๖๐ เซนติเมตร ด้านละ ๒ ลูก รวมใช้ทุ่นทั้งหมด ๑๒ ลูกหลังจากลงแพเรียบร้อยจัดเตรียมสายเลี้ยงลูกหอยโดยใช้เนื้ออวนขนาดตา ๖ เซนติเมตร ตัดให้ยาว ๒ เมตร กว้าง ๒๐ เซนติเมตร (๓-๔ ตา) ผูกปลายด้านหนึ่งด้วยหินทะเลหรือหินที่ใช้ในการก่อสร้างโดยใช้หินเบอร์ ๒-๓ ใส่ถุงพลาสติก ใช้หนังยางผูกติดกับปลายเนื้ออวนที่ตัดไว้แล้ว ส่วนอีกปลายด้านหนึ่งผูกกับเชือกขนาด ๑๖ มิลลิเมตร ของแพที่จัดเตรียมไว้แล้วในทะเลโดยผุกใต้ถังทุ่น ๑ สาย และผูกรอบนอกถังทุ่นอีก ๔ สาย เพราะฉะนั้น ๑ ถังทุ่น จะมีสายเลี้ยงหอย ๕ สาย ในพื้นที่ ๑ ไร่ จะผูกสายเลี้ยงหอยได้ทั้งหมด (๑,๖๐๐ x ๕) เท่ากับ ๘,๐๐๐ สาย หลังจากลูกหอยแมลงภู่เกาะแล้วจะกินอาหารธรรมชาติจำพวกแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ ใช้เวลาการเลี้ยงประมาณ ๖ เดือน หอยจะมีขนาดประมาณ ๖ เซนติเมตร ให้เริ่มทยอยขายได้โดยเลือกกลุ่มที่มีขนาดตลาดต้องการก่อน เก็ยเฉพาะตัวหอย เหลือสายเลี้ยงหอยไว้เพื่อให้ลูกหอยรุ่นต่อไปเกาะ จะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในปีต่อไป

ประมาณรายจ่ายต่อไร่ของการเลี้ยงหอยแบบแพเชือก

เชือกโพลีโพรพีลีน ขนาด ๑๖ มิลลิเมตร ๒๔ ม้วน ๕๑,๗๐๐ บาท
เชือกโพลีโพรพีลีน ขนาด ๒๐ มิลลิเมตร ๒ ม้วน ๖,๖๐๐ บาท
เชือกโพลีโพรพีลีน ขนาด ๘ มิลลิเมตร ๑๘ ม้วน ๑๑,๑๐๐ บาท
ด้ายเบอร์ ๓๖ จำนวน ๑๐ มัด ๗๐๐ บาท
ทุ่นสมอปูน ๑๒ ลูก ๙,๖๐๐ บาท
ถังทุ่นพลาสติก ขนาด ๒๐-๓๐ ลิตร จำนวน ๑,๔๗๖ ใบ ๓๙,๙๐๐ บาท
อวนขนาดตา ๖ เซนติเมตร
เนื้ออวน ๗๐๐D/๑๕ จำนวน ๖ ม้วน ๓๑,๒๐๐ บาท
อื่นๆ เช่น ค่าแรง ค่าจับ และน้ำมันเชื้อเพลิง ๔๕,๐๐๐ บาท
รวมค่าใช้จ่าย ๑๙๕,๘๐๐ บาท
ประมาณการรายรับต่อไร่ของการเลี้ยงหอยแบบแพเชือก
จำนวนสายเลี้ยงหอย ๘,๐๐๐ สาย เฉลี่ยสายละ ๘ กิโลกรัม รวม ๖๔,๐๐๐ กิโลกรัม
ราคากิโลกรัมละ ๕ บาท
รวมเป็นเงิน ๓๒๐,๐๐๐ บาท

๓ การเลี้ยงแบบหอยแขวนแบบราวเชือก
   วิธีการเลี้ยงหอยแมลงภู่แบบแขวน มีความเหมาะสมสำหรับแหล่งเลี้ยงที่มีระดับความลึกและปลอดภัย จากกระแสคลื่นลม แรง และอยู่ห่างฝั่ง ส่วนประกอบที่สำคัญ คือ เชือกเส้นใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า ๑/๒ นิ้ว ยาวประมาณ ๑๐๐ เมตร มีทุ่นผูกเป็นระยะ ๒-๔ เมตร เพื่อพยุงไม่ให้จม เชือกนี้มีเส้นเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เซนติเมตร ผูกเป็นระยะๆ เพื่อให้หอยเกาะมีระยะห่างกัน ๕๐ เซนติเมตร ปลายเชือกยาวไม่เกินระดับน้ำลงต่ำสุด ที่ปลายเชือกเส้นใหญ่ทั้งสองข้างผูกไว้กับสมอยึดไม่ให้เคลื่อนที่ ถ้าเป็นทุ่นใหญ่อาจผูกเชือกคู่ก็ได้ ผลผลิตพอๆ กับการเลี้ยงหอยแบบแพ แต่วิธีนี้เชื่อว่ามีความต้านทานต่อคลื่นลมได้ดี

  สำหรับการเลี้ยงแบบหลักไม้แขวนลอย การเลี้ยงแบบนี้จะรวบรวมพันธุ์หอยจากแหล่งธรรมชาติมาเตรียมให้หอยเกาะกับ หลักไม้เป้ง ความยาว ๑ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๓-๕ เซนติเมตร โดยใช้ถุงอวนบางประกอบกับไม้แล้วบรรจุหอยลงในช่วงระหว่างเนื้อถุงอวนกับผิวไม้ ผูกมัดเป็นส่วนๆ ประมาณ ๓-๔ ส่วน ตามความยาวไม้ จากนั้นจึงใช้เชือกลอดตามรูปลายไม้ด้านบนที่เจาะเตรียมไว้ แล้วผูกให้แน่นนำหลักไม้ที่พันหอยแมลงภู่นี้ไปแขวนลอยไว้บนราวที่มีเสาค้ำจุน โดยจัดให้หลักหอยจมน้ำอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นระยะที่น้ำลดต่ำสุดภายใน ๔-๕ วัน หอยจะเกาะกระจายอยู่ตามผิวหลักไม้อย่างมั่นคง จากนั้นจึงตัดอวนออกและเลี้ยงให้หอยเจริญเติบโตต่อไป ในระยะเวลา ๘ เดือน หอยเจริญเติบโตได้ขนาดตลาด ซึ่งมีความยาวเฉลี่ย ๗.๓ เซนติเมตร ให้ผลผลิตเฉลี่ยหลักละ ๕ กิโลกรัม ประมาณได้ว่าพื้นที่ ๑ ตารางเมตร สามารถเลี้ยงได้ ๔ หลัก ในแหล่งน้ำที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมมีอาหารตามธรรมชาติสมบูรณ์ในเนื้อที่ ๑ ไร่ สามารถเก็บผลผลิตจากการเลี้ยงหอยได้ประมาณ ๓๐-๓๒ ตัน/ไร่

๔ การเลี้ยงหอยแบบตาข่ายเชือก
  การเลี้ยงแบบตาข่ายเชือกสามารถเลี้ยงได้ในระดับน้ำลงต่ำสด ๒ เมตร และในบริเวณดินแข็งที่ไม่สามารถปักไม้เลี้ยงหอยได้ การเลี้ยงแบบนี้มีข้อดี คือวัสดุที่ใช้ เป็นวัสดุสงเคราะห์ซึ่งหาได้ง่ายตามตลาดทั่วไป และวัสดุที่ใช้เลี้ยงมีความคงทนใช้งานหลายปี สำหรับการเตรียมงานติดตั้งตาข่ายเชือกมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

๑ การเตรียมฐานเสา นำแม่แบบเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๕๐ เซนติเมตร วางตะแกรงเหล็กภายในแม่แบบ ที่ตะแกรงเหล็กเชื่อมห่วงหรือเหล็กหูแหนบสูงประมาณ ๒๐-๓๐ เซนติเมตร ตัดท่อพีวีซี ยาว ๔๐ เซนติเมตร ตั้งในแบบ ๔ ท่อน เทปูนภายในแบบให้สูงประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ฐานเสาจะมีรูสำหรับสวมเสาเหล็ก ๔ รู ข้อควรระวัง อย่าให้เนื้อปูนเข้าในท่อพีวีซี จะทำให้เกิดการอุดตันไม่สามารถสวมเหล็กแป๊บได้

๒ การเตรียมเสาเหล็กสวมใส่ท่อพีวีซี นำท่อแป๊บขนาด ๒ นิ้ว เชื่อมห่วงโซ่ขนาด ๑ นิ้ว ให้ติดกับท่อแป๊บ ๒ จุด จุดแรกเชื่อมที่โคนเสาให้ห่างจากโคนเสา ๓๐ เซนติเมตร จุดที่ ๒ ขึ้นอยู่กับน้ำลดต่ำสุด ถ้าน้ำลดลงต่ำสุด ๒ เมตร วัดจากโคนเสาไปถึงปลายเสาให้เชื่อมที่ระดับ ๒ เมตร (การเชื่อมจุดที่ ๒ เพราะป้องกันการรูดลงของเชือก) เสร็จแล้วเทปูนภายในท่อแป๊บเพื่อให้ท่อแป๊บมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น

๓ การเตรียมราวเชือก นำเชือกขนาด ๑๐ มิลลิเมตร มาถักให้ได้ขนาดตากว้าง ๕๐ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เมตร ถักให้เป็นผืนใหญ่ กว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร หรือผืนเล็ก ๔ ผืน กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร การถักราวเชือกควรเหลือปลายเชือกรอบนอกไว้สำหรับผูกยึดเชือก ๑๔-๑๖ มิลลิเมตร ประมาณ ๑ เมตร

๔ การเคลื่อนย้ายฐานเสา นำกระชังเหล็กขนาดกว้าง ๒ เมตร ยาว ๒ เมตร ใช้เชือกผูกถังขนาด ๑๐๐ ลิตร จำนวน ๘ -๑๒ ใบ การเตรียมย้ายต้องอาศัยระดับน้ำ เป็นตัวช่วยเวลาย้ายฐานเสา ควรเป็นช่วงที่น้ำข้นสูงกว่าฐานเสาประมาณ ๑ เมตร การเคลื่อนย้ายนำกระชังให้ลอยอยู่บนฐานเสาใช้เชือกขนาด ๑๔-๑๖ มิลลิเมตร ๒ เส้น ยาว ๔ เมตร มีขั้นตอนลำดับดังนี้

  ใช้คน ๕-๖ คน ขึ้นบนกระชังให้อยู่ด้านใดด้านหนึ่ง นำปลายของเชือกเส้นแรกผูกติดกับกระชังก่อน ส่วนอีกปลายหนึ่งร้อยเข้าห่วงเหล็ก แล้วนำมาผูกติดกับตัวกระชัง การผูกต้องให้ตึงและแก้ง่ายเพื่อสะดวกในการปล่อยฐานเสา เสร็จแล้วย้ายคนสลับด้านไปอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำเช่นเดียวกับครั้งแรก เมื่อผูกเชือกเสร็จแล้วคนลงจากกระชัง กระชังจะลอยขึ้น วงเวลากระชังลอยขึ้นจะดึงฐานเสาขึ้นจากพื้นเสร็จแล้วใช้เรือลากกระชังไปทิ้ง ทุ่นสมอตามจุดที่ต้องการ

๕ การวางฐานเสา ใช้ไม้ปักวางแนวก่อนให้ห่างกัน ๑๐ เมตร ใช้เรือลากฐานเสานำไปทิ้งใกล้กับไม้ที่ปักทำเป็นแนวจะได้ฐานเสาห่างกัน ๑๐ เมตร ในเนื้อที่ ๑ ไร่ จะใช้ฐานเสา ๒๕ ฐาน ในกรณีที่ลงฐานเสาไม่ตรงจุดทำการเคลื่อนย้ายได้โดยทำเช่นเดียวกับการเคลื่อนย้ายฐานเสา

๖ การสวมเสาหลัก นำเสาหลักที่เตรียมไว้แล้วสวมในรูฐานเสา ๒ ต้น แล้วใช้เชือก ๒ เส้น เส้นที่ ๑ ผูกที่ปมเหล็ก ด้านบนให้แน่น ให้เสาติดอยู่คู่กันแล้ว ใช้เชือกอีกเส้นหนึ่งขนาด ๑๐ มิลลิเมตร ผูกปมเหล็กด้านบนไปยึดห่วงเหล็กด้านล่างให้ตึง การผูกยึดเพื่อป้องกันการหลุดของเสาหลัก

๗ การขึงเชือก ๑๔-๑๖ มิลลิเมตร นำเชือก ขนาด ๑๐ มิลลิเมตร ที่ถักเรียบร้อยแล้ววางพาดบนเชือกขนาด ๑๔-๑๖ มิลลิเมตร ใช้ปลายเชือกขนาด ๑๐ มิลลิเมตร ที่เหลือไว้ผูกติดกับเชือก ๑๔-๑๖ มิลลิเมตรให้แน่น

๘ การวางตาข่ายเชือก นำเชือกขนาด ๑๐ มิลลิเมตร ที่ถักเรียบร้อยแล้ววางพาดบนเชือก ขนาด ๑๔-๑๖ มิลลิเมตร ใช้ปลายเชือกขนาด ๑๐ มิลลิเมตรที่เหลือไว้ผูกติดกับเชือก ๑๔-๑๖ มิลลิเมตรให้แน่น

๙ การเก็บเกี่ยวลูกหอย เนื่องจากการเลี้ยงหอยแมลงภู่แบบราวเชือกเป็นการเลี้ยงหอยอยู่กับที่ เวลาเก็บเกี่ยวต้องน้ำลงไปเก็บเกี่ยวผลผลิต หลังการเก็บเกี่ยวทำความสะอาดเส้นเชือก แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้หอยมาเกาะในรุ่นต่อไป

๑๐การเสริมฐานเสาถ้าปริมาณลูกหอยเกาะตามราวเชือกจำนวนมากต้องเสริมฐานเสาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ เมตร การเสริมฐานเสา เสริมกลางระหว่างฐานเสาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ เมตร การเสริมฐานเสาเสริมกลางระหว่างฐานเสา ๔ ต้น ถ้าราวเชือกหย่อนให้เพิ่มฐานเสาอีก


การเลี้ยงหอยแมงภู่

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหาบทความ เช่น "สัตว์ปีก"